วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แบตเตอร์รี่นิวเคลียร์


มันอาจจะฟังดูอันตรายนะ แต่ว่าแบตเตอร์รี่นิวเคลียร์(nuclear batteries)เป็นอุปกรณ์ให้พลังงานที่ปลอดภัย ดังเช่นใน ดาวเทียม และระบบใต้น้ำที่ทำงานเป็นปีๆ พวกมันมีอายุการใช้งานที่ยอดเยี่ยมมาก และมีความหนาแน่นของพลังงานสูงกว่าแบตเตอร์รี่ที่เกิดจากปฎิกิริยาเคมี อย่างไรก็ตามพวกมันมีราคาอยู่ในระดับที่อภิมหาศาลเลยล่ะครับ ขณะนี้นักวิจัยของมหาวิทยาลัยMissouri (MU)กำลังพัฒนาแบตเตอร์รี่นิวเคลียร์ที่เล็กกว่าเดิมเบากว่าเดิมและมีสมรรถภาพที่มากกว่าเดิมอีกด้วย

Jae Kwon ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ที่ MU กำลังสร้างแบตเตอร์รี่นิวเคลียร์ขนาดเล็ก ในตอนนี้ต้องยอมรับว่าผู้คนยังมีความคิดที่ผิดๆเมื่อได้ยินคำว่า แบตเตอร์รี่นิวเคลียร์ และต้องคิดว่ามันอันตรายแน่ๆ

แม้ว่าแบตเตอร์รี่นิวเคลียร์สร้างพลังงานไฟฟ้าจากการแตกตัวของอะตอมเหมือนปฏิกิริยานิวเคลียร์ แต่พวกเขาไม่ได้ให้มันเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ แต่จะใช้การแผ่รังสีของไอโซโทป ในการสร้างพลังงานแทน ซึ่งมันไม่เสี่ยงหรือมีอันตรายเมื่ออยู่ในวัสดุที่ออกแบบมาอย่างดี

แบตเตอร์รี่นิวเคลียร์ที่กำลังถูกพัฒนาโดยKwon และทีมวิจัยของเขาในขณะนี้เขาสามารถพัฒนาให้ขนาดแบตเตอร์รี่มีขนาดและความหนาเท่ากับเหรียญ เพนนี ได้แล้ว ซึ่งนำไปใช้ในการขับเคลื่อนให้พลังงานได้อย่างมากมาย

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่จะเป็นขนาดแต่ยังมีส่วนของสารกึ่งตัวนำที่อยู่ภายในแบตเตอร์รี่นิวเคลียร์ซึ่งเป็นของเหลวจนค่อนข้างออกจะเป็นของแข็งอีกด้วย

ในส่วนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือว่า เมื่อคุณได้ใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่นิวเคลียร์นี้หมดแล้วในส่วนของพลังงานที่เป็นรังสีที่หลงเหลือสามารถที่จะทำลายโครงสร้างตาข่ายของสารกึ่งตัวนำที่เป็นของแข็งได้ Kwon กล่าว

โดยเมื่อพวกเราใช้สารกึ่งตัวนำที่เป็นของเหลว พวกเราเชื่อว่าได้ทำให้ปัญหามันน้อยที่สุดได้

Kwon ได้ร่วมมือกับ J. David Robertson ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเคมี และเป็นผู้อำนวยการแห่ง MU ร่วมกันค้นขว้าวิจัย สร้างและทดสอบ แบตเตอร์รี่ลงในเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยพวกเขาหวังว่าจะทำให้ได้พลังงานจากแบตเตอร์รี่มากกว่านี้อีก ลดขนาดพวกมันให้เล็กลงกว่านี้อีก จะพยายามเปลี่ยนแปลงทดลองโดยเปลี่ยนไปใช้แร่อย่างอื่นดูบ้าง

Kwon .ยังกล่าวอีกว่า.พวกมันสามารถที่จะเล็กกว่าความหนาของเส้นผมมนุษย์ได้


ขอขอบคุณ gizmag



DRAGONFLY ตึกระฟ้าแห่งอนาคต

ตึกอื่นนอกจาก ตึกระฟ้าในกลางเมืองนิวยอร์กอาจจะดูเหมือนว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างแล้วไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นที่สุด ซึ่งมันก็แน่นอน เว้นแต่ตึกระฟ้าที่ เป็นสิ่งก่อสร้างที่จะถูกเตรียมไว้กับเมืองที่มีประชากรหนาแน่น ซึ่งต้องการอาหารในปริมาณที่มาก ที่ อยู่ในวิถีทางแห่งธรรมชาติ สามารถทำเอาธรรมชาติกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมายและของเสียทางชีวภาพที่เกิดขึ้นก็ยังสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก




Dragonfly เป็นผลงานของบริษัท Belgian , Vincent Callebaut สถาปนิกและผู้ขีดเส้นแห่งอนาคตกับการเกิดขึ้นของ vertical farming ซึ่งจะทำให้มันเป็นจริง ดังเช่น Dubai’s seawater vertical farm and Eric Vergne's Dystopian Farm concept.

จากการออกแบบเป็นพิเศษ ของ Callebaut ได้จำลองแบบตึกมาจากลักษณะของปีกแมลงปอ ปีกของตึกทั้งสองถูกออกแบบมาอย่างประณีต และสวยงาม ลักษณะโครงสร้างแบบปีกแมลงปอนี้ให้ข้อดีต่างๆมากมาย โดยมีการนำแหล่งพลังงานหมุนเวียนต่างๆเข้ามาใช้ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสง อาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำที่ผ่านเทอร์ไบผลิตไฟฟ้าออกมา ,บริเวณช่วงว่างระหว่างของปีกจะติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ เพื่อที่จะใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์มาให้ความอบอุ่นภายในอาคารซึ่งออกแบบมา ให้สามารถกักเก็บความอบอุ่นได้เป็นอย่างดีตลอดในช่วงเดือนฤดูหนาว และยังออกแบบในบริเวณส่วนที่ต่างๆกันให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในแต่ละบริเวณ เพื่อให้สามารถใช้งานจนเกิดประโยชน์สูงสุดได้ นอกจากนี้ของเสียที่เกิดขึ้นภายในตึกนี้ไม่ว่าจะเป็นของเสียจากต้นไม้พืชผัก ผลไม้ซึ่งเป็นอาหารของมนุษย์และสัตว์ ขยะของเสียที่เกิดจากมนุษย์ และ สัตว์ที่ถูกเลี้ยงไม่ว่าจะเลี้ยงไว้เป็นอาหารหรือเป็นเพื่อนคู่ใจ เหล่านี้ก็ถูกนำกลับมาผ่านกระบวนการบำบัดหรือรีไซเคิลนำกลับมาใช้ใหม่ได้หมด


Dragonfly นี้สูงหกร้อยเมตร มีทั้งหมด 132 ชั้น พื้นที่สำหรับทำกสิกรรมการเพราะปลูกเลี้ยงสัตว์ด้วยเทคโนโลยีเกษตรกรรมแม่น ยำสูงที่ไม่ต้องพึ่งพาสภาพภูมิอากาศอย่างเช่นในปัจจุบันอีกต่อไป นานาชนิดที่แตกต่างกันถึง 28 พื้นที่เ พื่อหล่อเลี้ยงชีวิตคนทั้ง ตึก Dragonfly นอกจากนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัย พื้นที่สำหรับสำนักงานต่างๆ แหล่งศูนย์การค้า แหล่งความบันเทิง ห้องทดลอง สวนผมไม้ ฟาร์ม ศูนย์ผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งอยู่ใน Dragonfly ทั้งหมด



มันเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะต้องค้นคว้าวิจัยซึ่งถูกยกขึ้นมาเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นและสำคัญมากโดย UNDP (United Nations Development Program) มีเหตุผลสนันสนุนโดยที่ภายในปี2025 ประชากรทั่วโลกจะเพิ่มจาก 3.1 พันล้านเป็น 5.5 พันล้านคน ซึ่งสิ่งที่จะสามารถแก้ปัญหาได้ก็คือการที่ต้องเป็นเมืองแบบ ecological(ecological city)หรือเป็นเมืองที่สามารถหล่อเลี้ยงประชากรที่มีอยู่ภายในเมืองหรือตึกได้ด้วยตนเอง และต้องเป็นเมืองที่ลดขยะและมลภาวะที่เกิดขึ้นต่างๆ โดยการใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับธรรมชาติสามารถรีไซเคิลนำกลับมาใช้ใหม่ได้ของเสียที่เกิดขึ้นภายในเมืองก็ต้องผ่านการบำบัดหรือทำให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ สิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นหัวใจของความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติในอนาคตอันใกล้ด้วยสังคมในแบบที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ


ขอขอบคุณ gizmag

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มาดูกันซิว่าจังหวัดไหนปล่อยCO2มากที่สุด


แหล่งที่มาของข้อมูลนี้มาจาก Carbon Monitoring for Action (หรือเรียกสั้นๆว่าCARMA)เป็นองค์กรหนึ่งของอเมริกาที่ทำหน้าที่หาข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากที่ต่างๆทั่วโลก โรงงานไฟฟ้าห้าหมื่นกว่าโรงงาน บริษัทที่ใช้กำลังไฟฟ้ามากๆสี่พันกว่าบริษัท มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซี
จากการวิเคราะห์และสำรวจข้อมูลจากดาวเทียมพบว่า

จังหวัดในประเทศไทยที่มีการปล่อยก็าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด5จังหวัดแรกได้แก่
อันดับ 1
เป็นของ จังหวัดลำปาง เฉลี่ย 21,700,000 ตันต่อปี
โดยสาเหตุหลักมาจากโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ
อันดับ 2
เป็นของจังหวัดระยอง เฉลี่ย 16,700,000 ตันต่อปี
โดยสาเหตุหลักมาจากบริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
อันดับ 3
เป็นของจังหวัด ราชบุรี เฉลี่ย 7,976,714 ตันต่อปี
อันดับ 4
เป็นของจังหวัด ฉะเชิงเทรา เฉลี่ย 7,882,582 ตันต่อปี
อันดับ5
เป็นของจังหวัด สมุทรปราการ เฉลี่ย 4,499,057 ตันต่อปี

โรงงานไฟฟ้าที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในประเทศไทย5 อันดับแรกได้แก่
อันดับ1
โรงงานไฟฟ้าแม่เมาะ เฉลี่ย 21,700,000 ตันต่อปี
อันดับ2
โรงงานไฟฟ้ามาบตาพุด BLCP เฉลี่ย 7,663,836 ตันต่อปี
อันดับ3
โรงงานไฟฟ้าบางประกง เฉลี่ย 7,402,932 ตันต่อปี
อันดับ4
โรงงานไฟฟ้าราชบุรี เฉลี่ย 6,684,019 ตันต่อปี
อันดับ5
โรงงานไฟฟ้าวังน้อย เฉลี่ย 3,566,432 ตันต่อปี

สำหรับผู้ที่สนใจหาข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไชด์ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนบริเวณไหน(ประเทศ จังหวัด โรงงานไฟฟ้า บริษัท บริเวณ เขต)ก็สามารถหาข้อมูลได้ที่ CARMA เป็นเว็บไซด์ที่ให้ข้อมูลในด้านการสำรวจการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศของโลกได้ดีมากๆครับได้ นอกจากนั้นยังมีข้อมูลที่แสดงถึงมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือไม่แถมยังมีภาพกราฟฟิกซึ่งถ่ายจากดาวเทียมให้เราคลิกซูมเข้าออกในบริเวณที่เราต้องการสำรวจได้ทั่วโลกทีเดียวครับ ^^



ขอขอบคุณ : CARMA (
Carbon Monitoring for Action)

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

การเปลี่ยนแปลงทะเลน้ำแข็งอาร์กติก




สีม่วง :
น้ำแข็งอายุน้อยกว่า 1 ปี

สีฟ้า :
น้ำแข็งอายุระหว่าง 1-2 ปี

สีเขียว :
น้ำแข็งอายุมากกว่า 2 ปี

สีน้ำเงิน :
น้ำทะเล

สีเทา :
แผ่นดิน




ตามที่ CU-Boulder center กล่าว ทะเลน้ำแข็งในปี2009มีแนวโน้มต่ำสุดติดอันดับหนึ่งในสาม ตั้งแต่ที่ดาวเทียมได้บันทึกเอาไว้ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 1979 ซึ่งห้าปีที่เพิ่งผ่านมานี้ก็เป็นห้าครั้งที่มีปริเวณน้ำแข็งน้อยที่สุดตั้งแต่ที่เคยบันทึกมาในประวัติศาสตร์

"มันเป็นสิ่งที่ดีนะผมว่า ที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเล็กน้อยของสองปีที่ผ่านมา แต่มันก็คงไม่มีเหตุผลอะไรหรอกที่จะให้มันกลับไปมีสภาพเหมือนกับเมื่อปี 1970 "
ผู้อำนวยการ Mark Serrezeแห่ง NSIDC กล่าวแล้วผู้เชี่ยวชาญของ CU-Boulder แผนก ภูมิศาสตร์ ยังกล่าวอีกด้วยว่า
"พวกเรายังคงหวังว่า จะได้เห็น น้ำแข็งอิสระในฤดูร้อนหรือในอีกสิบปีข้างหน้า"

เฉลี่ยแล้วน้ำแข็งในช่วงเดือนกันยายนจากการวัดตามมาตรฐานตามการศึกษาสภาพภูมิอากาศ5.36 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งค่าเฉลี่ยนี้มากกว่า1.06ล้านตารางกิโลเมตรจากการบันทึกข้อมูลในปี2007

แล้วค่าเฉลี่ยของปริมาณพื้นที่ที่เป็นน้ำแข็งยังมากกว่า690,000ตารางกิโลเมตร เมื่อเทียบกับสองปีที่ผ่านมาซึ่งบันทึกข้อมูลเมื่อเดือนกันยายนปี2008

ในปี2009ทะเลน้ำแข็งอาร์กติกยังมีแนวโน้มที่น้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับพื้นที่ทะเลน้ำแข็งโดยเฉลี่ย1.68ล้านตารางกิโลเมตรในระหว่างช่วงปี1979-2000 ในช่วงเดือนกันยายน ตามรายงาน
ทะเลน้ำแข็งอาร์กติกในช่วงเดือนกันยายนคิดเป็นอัตรตราที่เสื่อมโทรมลงร้อยละ 11.2 ต่อระยะเวลาสิบปี
และในช่วงเดือนในฤดูหนาวจะประมาณ ร้อยละ3 ต่อระยะเวลาสิบปี

ซึ่งนักวิทยาศาตร์ทั่วโลกต่างมีความเห็นตรงกันว่า ทะเลน้ำแข็งอาร์กติกค่อยๆเสื่อมโทรมลงหดหายไป
เรื่อยๆจากผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกของมนุษย์ซึ่งลอยขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศของโลก


ขอขอบคุณ sciencedaily

Lilypad City เมืองแห่งอนาคต

สมใจคนชอบ Experimental Design สำหรับนวัตกรรมการออกแบบเมืองลอยน้ำ "ลิลี่แพด" (Lilypad City) บ้านใหม่แห่งอนาคตที่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง ในการช่วยเหลือคนทั้งโลกที่ต้องการลี้ภัยน้ำท่วมอันเกิดจากวิกฤติโลกร้อน ที่กำลังคุกคามอย่างรุกคืบ จากความคิดอันเฉียบคมของ วินเซนต์ คาเลโบต์ สถาปนิกคนเก่งจากเบลเยียม

การออกแบบเมืองนี้ คาเลโบต์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปทรงของใบบัวขนาดใหญ่ อะมาโซเนีย วิคตอเรีย เรเจีย ลิลี่แพด ที่มีลักษณะเป็นใบกว้างลอยอยู่เหนือน้ำคอยรองรับน้ำฝนและฟอกน้ำให้สะอาด โดยคาเลโบต์ได้ออกแบบให้เมืองนี้ เข้าออกด้วยท่าจอดเรือที่มีอยู่ 3 ทาง และมีภูเขา 3 ลูก เพื่อให้ผู้คนที่อยู่บนเมืองลอยน้ำแห่งนี้ได้เพลิดเพลินกับการเปลี่ยน วิวทิวทัศน์ ไม่ซ้ำซากจำเจ

สำหรับสภาวะแวดล้อมของเมืองนั้น วินเซนต์ได้ออกแบบให้ทั้งเมืองปกคลุมไปด้วยต้นไม้ที่ปลูกอยู่ด้านบน โดยมีเป้าหมายของการสร้างอยู่ที่การสร้างความกลมกลืนในการอยู่ร่วมกัน ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ

ลิลี่แพดจะเป็นเมืองที่เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี มีลักษณะเป็นเมืองสะเทินน้ำสะเทินบกที่ไม่จำเป็นต้องมีรถหรือมีถนนใดๆ สามารถแก้ไขปัญหาระยะยาวของระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น ทั้งยังช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วม อย่างรุนแรงได้เป็นอย่างดี โดยจะลอยตัวอยู่ในทะเลบริเวณผิวดินเดิมที่ถูกน้ำท่วมมิด กล่าวคือเป็นเมืองที่ลอยอยู่ทั่วโลกเหมือนเรือยักษ์ หรือลอยไปตามกระแสน้ำไหลของมหาสมุทรทั่วโลก


ที่สำคัญคือพลังงานที่ใช้ในเมืองจะมาจากแหล่งพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ ได้ใหม่ รวมถึงการใช้พลังงานจากธรรมชาติอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานความร้อน พลังงานลม พลังงานน้ำ และพลังงานคลื่น โดยพลังงานที่ได้ทั้งหมดจะมากเกินความจำเป็นที่คนทั้งเมืองต้องการใช้ แถมยังไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมด ขณะที่ขยะก็จะถูกนำไปรีไซเคิล

แน่นอนว่าความคิดอันน่าชื่นชมของวินเซนต์สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศด้านการออก แบบเมืองแห่งอนาคตมาครอง ได้เป็นผลสำเร็จ ทั้งยังเป็นแนวทางการแก้ปัญหาที่สอดรับกับการคาดการณ์ของผู้วชาญที่ว่า น้ำแข็งจะละลายเพราะโลกร้อน ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นถึง 88 เซนติเมตร (เกือบ 3 ฟุต) ภายในปี 2643 และจะเกิดภัยคุกคามต่อพื้นที่ขนาดใหญ่บริเวณชายฝั่ง รวมทั้งเมืองใหญ่ๆ ของโลก เช่น กรุงลอนดอนในอังกฤษ นครนิวยอร์กในสหรัฐฯ และกรุงโตเกียวในญี่ปุ่น


โดยเฉพาะเมืองที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่เกิน 50 เซนติเมตร และเกาะน้อยใหญ่ในมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น เกาะตูวาลู เกาะคิริบาติ หรือเกาะมัลดีฟส์ ซึ่งหากน้ำทะเลสูงขึ้นเพียง 50 เซนติเมตร พื้นที่ของเกาะก็จะถูกคลื่นทะเลซัดกร่อน หรือจมอยู่ใต้น้ำ หรือแม้บางเกาะจะอยู่เหนือทะเลได้ แต่ประชากรในพื้นที่คงต้องเผชิญกับปัญหาน้ำดื่มขาดแคลนกันน่าดู เพราะน้ำทะเลรุกล้ำเข้ามายังแหล่งน้ำจืด อันเป็นคลื่นกระทบต่อชีวิตผู้คนหลายสิบล้านคนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ชาย ฝั่งในเอเชียใต้ เช่น ปากีสถาน อินเดีย ศรีลังกา บังกลาเทศ พม่า รวมทั้งประเทศไทยด้วย

นับเป็นแนวคิดที่ล้ำสมัยที่เมืองไทยน่าจะมีผู้นำมาปรับใช้บ้าง เนื่องจากมีผู้วชาญคาดการณ์ว่า อีกประมาณ 30 ปี น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง งานนี้เห็นทีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองคงต้องพักรบ สงบใจ หันหน้าปรองดองกันเพื่อทุกชีวิตในประเทศไทยบ้างแล้ว




Name : Vincent Callebaut Architect
Born : in 1977
Nationality : Belgian
Diploma : in 2000 awarded with Ren้ Serrure First Prize at ISAIVH
Address France : 119, rue Manin, 75019 Paris
Address Belgium : 26, rue Andr้ Renard, 7110 la Louvi่re (H-G)
Email : vincent@callebaut.org
Website : www.vincent.callebaut.org





ขอขอบคุณ : artgazine.com

การใช้พลังงานในประเทศไทย ไตรมาสที่2/2552


ในไตรมาสที่ 2/2552 นี้ประเทศไทศมีการใช้พลังงาน 16,601 พันตันครับ หรือเทียบเท่ากับน้ำมันดิบ(ktoe)
ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อนละ 0.52 ถึงจะลดลงเพียงเล็กน้อยก็ถือเป็นข่าวดีนะครับ แต่เชื่อไหมครับว่าเพียงลดลงแค่ร้อยล่ะ 0.52 เท่านั้น ก็คิดเป็นมูลค่าการใช้พลังงานถึง 250,766 ล้านบาท โอ้โห (ว่าไปขอแค่ร้อยละหนึ่งนี่ก็รวยแล้วนะครับเนี่ย)

โดย น้ำมันสำเร็จรูปยังคงมีการใช้ในสัดส่วนที่สูงกว่าพลังงานชนิดอื่น โดยมีการใช้ร้อยละ 47.32 ของการใช้พลังงานทั้งหมด และมีการใช้พลังงานอื่นๆอีกในสัดส่วน
พลังงานหมุนเวียน ร้อยละ 19.22
พลังงานไฟฟ้า ร้อยละ 16.52
พลังงานถ่านหิน/ลิกไนต์ ร้อยละ 11.96
พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ 4.98

ในสาขาอุตสาหกรรมเป็นสาขาเศรษฐกิจที่มีการใช้ในสัดส่วนที่สูงกว่าสาขาอื่นๆทั้งหมดโดยมีการใช้พลังงานถึงร้อยละ 37.13
(ประกอบไปด้วยสาขาอุตสาหกรรมการผลิต ร้อยละ 36.70
อุตสาหกรรมเหมืองแร่ ร้อยละ 0.20
และอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการก่อสร้าง ร้อยละ 0.23 )
ของการใช้พลังงานทั้งหมด
รองลงมาคือการใช้พลังงานในสาขาการขนส่ง ร้อยละ 35.43
บ้านอยู่อาศัย ร้อยละ 15.07
ธุรกิจการค้า ร้อยละ 7.21
และเกษตรกรรม ร้อยละ 5.16




ขอขอบคุณ : กระทรวงพลังงานแห่งประเทศไทย